อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการที่อินเทอร์เน็ตได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางอยู่ทั่วโลกนั้น เป็นผลมาจากความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูล (Links) จากข้อมูลหนึ่งไปยังอีกข้อมูลหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว โดยเราสามารถเชื่อมโยงข้อความได้ทั้งจากภายในแฟ้มเอกสารข้อมูลของตัวเราเอง และแฟ้มเอกสารข้อมูลภายนอกจากที่อื่นที่อยู่ต่างเว็บไซต์กัน ข้อความที่ถูกกำหนดให้เชื่อมโยงกับฐานข้อมูลอื่น ๆ บนเว็บจะแสดงผลเป็นตัวอักษรที่มีสีแตกต่างจากตัวอักษรทั่วไป หรืออาจมีการขีดเส้นใต้ข้อความนั้นด้วย โดยทั่วไปแล้วตัวอักษรที่แสดงผลอยู่บนเว็บจะมีสีดำบนพื้นสีขาว ส่วนข้อความที่ใช้เป็นตัวเชื่อมโยงข้อมูลนั้น จะเป็นตัวอักษร สีน้ำเงิน (หรือสีอื่นๆตามแต่กำหนดขึ้นมา) และเมื่อเลื่อนเมาส์ไปชี้ที่ข้อความซึ่งมีลิงค์อยู่ รูปแบบของตัวชี้จะเปลี่ยนจาก สัญลักษณ์ลูกศร เป็น รูปมือแทน และที่แถบที่แสดงสถานะด้านล่างจะแสดงถึง ตำแหน่งของจุดหมายปลายทางที่ข้อความเชื่อมโยงไปถึงให้เราได้เห็นประเภทของการเชื่อมโยงใน แบ่งการเชื่อมโยงออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้Internal Links คือ ลิงค์ที่ใช้เชื่อมโยงข้อมูลภายในเว็บของเราเอง ลิงค์แบบนี้สร้างขึ้นเพื่อให้สามารถย้ายไปอ่านเนื้อหาหน้าอื่น ๆ ภายในเว็บได้ ซึ่งมีเนื้อหาที่ต่อเนื่องกัน และผู้เข้าชมจะทราบว่าเข้าดูหน้าไหน เมื่อเขาคลิกที่ลิงค์นั้น เช่น ดู เทคนิคการหา Backlinks จากเว็บบอร์ด SMF […]
เทคนิควิธีทำ SEO
การใส่ Canonical tag เอาไว้ที่เว็บ มีไว้เพื่อเป็นการลด และ ป้องกันการเกิดข้อมูลซ้ำ (Duplicate content) ของเว็บเรา ซึ่งถ้าหาก Google ทราบว่าเว็บเรามีข้อมูลซ้ำกับที่อื่น ก็จะทำให้หน้าของเราด้อยค่าลง และโอกาสในการค้นหาเจอใน Google ก็จะน้อยลงเช่นกัน ดังนั้นการใช้ Canonical Tag จะเป็นการแจ้ง Google ว่าหน้าเว็บเราหน้าไหนก็ลักษณะคล้ายๆ กัน ซึ่งการใช้จะส่งผลให้ภาพลักษณ์ของเว็บเราดีขึ้น เมื่อ Google ทราบถึงข้อมูลนี้ การใส่ Canonical tag สมมุติว่า เว็บของเรา มี URL http://www.seomodify.com/news/แต่เว็บของเราสามารถใช้ URL http://www.seomodify.com/node/312 และ http://www.seomodify.com/content?id/312 เหล่านี้เข้าได้เหมือนกัน ดังนั้น Google อาจจะมองว่า ทั้งสามหน้านี้มันมีข้อมูลที่ซ้ำกัน (Google มองจาก URL เป็นหลัก)ซึ่งถ้าเรามีข้อมูลเว็บไซต์เหมือนกันทั้ง 3 หน้า 3 URL Google จะลดความสำคัญของหน้าเหล่านี้ลง เพราะถูกมองว่า ข้อมูลเหล่านี้จัดเป็นข้อมูลที่ซ้ำกัน (Duplicate content)แต่ถ้าหากเราต้องการให้ […]
Title tags ตามปรกติแล้วจะใช้บอกชื่อหน้าของเว็บเพจ ซึ่งจะแสดงผลอยู่ด้านบนสุดของ Web Browser ซึ่งเป็นส่วนที่เรียกได้ว่าสำคัญลำดับต้นๆ ในการทำ SEO (จะเป็นรองก็แค่ชื่อ Domain, URL ) เพราะผลลัพธ์ในการค้นหาที่ได้นั้นจะแสดงผลเนื้อหาที่อยู่ใน Title tags ก่อน นั่นเอง หากสังเกตุดีดีจะพบว่าในอันดับต้นๆที่เป็นผลลัพธ์จากการค้นของของ Search Engine นั้นไม่มีผลลัพธ์ใดเลยที่ไม่มี Keyword อยู่ใน Title tags ซึ่งแน่นอนว่า Keyword ที่อยู่ในเนื้อหา นั้นก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน แต่มันจะดีกว่าหากว่าเราให้ความสำคัญตั้งแต่ชื่อของเว็บเพจ โดยพิจารณาดังนี้Keyword สำคัญที่ต้องการให้ค้นหาเจอ หรือ Keyword ที่เป็นตัวแทนของเว็บนั้น จะต้องอยู่ใน Title tagความยาวไม่ควรเกิน 60 ตัวอักษร หรือประมาณ 7 – 10 คำผู้ใช้งานสามารถอ่านได้ง่าย ไม่ควรใส่ชื่อหน้า เช่น ติดต่อเรา สินค้า หรือ หน้าแรก เพราะไม่สื่อถึงความหมาย และผู้ใช้งานก็ไม่ได้ใช้คำพวกนี้ในการค้นหาพยายามให้ Keyword ที่ต้องการนั้นอยู่ชิดกัน เช่น […]
SEO Hidden Text หรือ การซ่อนคำบนเว็บไซต์ คือ การซ่อนเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ อย่างเช่นการใช้ข้อความสีขาวบนพื้นหลังสีขาวการใช้ CSS เพื่อซ่อนข้อความการใส่ข้อความไว้หลังรูปภาพการตั้งขนาดแบบอักษรเป็น 0ลิงก์ที่ซ่อนไว้ คือ ลิงก์ที่มีจุดประสงค์เพื่อให้ได้รับการรวบรวมข้อมูลโดย Googlebot แต่เราไม่สามารถอ่านได้เนื่องจากลิงก์นั้นประกอบด้วยข้อความที่ซ่อนไว้ (ตัวอย่างเช่น สีข้อความและสีพื้นหลังเหมือนกัน)CSS ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างไฮเปอร์ลิงก์ขนาดจิ๋ว ซึ่งสูงเพียงหนึ่งพิกเซลลิงก์ถูกซ่อนในอักขระขนาดเล็ก ตัวอย่างเช่น เครื่องหมายยัติภังค์ที่กลางย่อหน้าหากถามว่าวิธีนี้ส่งผลดีต่อ SEO หรือไม่ ? ขอบอกคำโตๆเลยว่า “ไม่” หากต้องการทำ SEO ด้วยวิธีการใดๆ ที่มีเจตนา เจาะจง หลอกลวง Search Engine และ ผู้ใช้งาน โดยวิธีการซ่อนข้อความและลิงค์เพื่อหวังผลให้ขึ้นอันดับดีใน SEO นั้น ล้วนอาจจะทำให้โดน Google ลงโทษ หรือ แบนได้ หากถูกตรวจพบ เว็บไซต์ของเราจะถูกลบออกจาก Index ของ Google ซึ่งจะทำให้เว็บไซต์ของเราหายไปจากหน้าแสดงผลการค้นหา เว็บไซต์ที่เคยติดอันดับต้นๆ ของเราก็จะหายไปจากหน้า Google เสียเฉยๆ นั่นอาจทำให้ธุรกิจของเราเกิดความเสียหายได้ เมื่อไม่มีลูกค้าค้นพบหน้าเว็บไซต์ของเรา […]
Breadcrumb คือ เครื่องมือที่ใช้นำทางให้เว็บของเรารู้ว่า ณ ตอนนี้ เราอยู่ส่วนไหนของเว็บไซต์ อยู่ลึกจากหน้าหลัก มาเท่าไหร่แล้ว ซึ่งแต่ละเว็บไซต์ก็จะมีรูปแบบแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของเว็บไซต์แต่ละเว็บ กล่าวง่ายๆ คือ ชุดของ Link เมนู ที่ระบุว่า เรากำลังอยู่ ที่จุดใดของเว็บนั่นเอง เช่น เข้าจากหน้า A ไปหมวด B ไปอ่านบทความ C ในแนวลึกเข้าไป Breadcrum ก็จะแสดงผลออกมาในรูป A -> B-> C ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งาน เกิด UX ที่ดีต่อเว็บเรา เป็นสิ่งจำเป็นมากๆสิ่งหนึ่งที่ทุกๆเว็บควรมี ยกตัวอย่างให้เห็นชัด ตามภาพหากดูจากตัวอย่าง คิดว่าหลายๆคนคงเข้าใจบ้างแล้วว่ามันคืออะไร โดยส่วนที่ส่งผลต่อ SEO นั้น google จะนำส่วนของ breadcrumb ไปแสดงที่หน้าของผลการค้นหาด้วยดังภาพ
ในการทำ SEO เรื่องทำอันดับในหน้าแสดงผลการค้นหา เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากสำหรับเจ้าของเว็บไซต์ ที่ต้องการให้มีผู้เข้าชมเว็บไซต์ของตัวเองมากขึ้น และก่อนที่จะทำได้ เราลองมาทำความเข้าใจ และรู้จักหลักการของทำงานกับ Google กันก่อนซึ่งการทำงานเพื่อจัดอันดับหน้าเว็บไซต์ต่างๆให้ขึ้นในหน้าแสดงผลการค้นหา เมื่อมีพิมพ์ Keyword ลงไปใน Google นั้น แบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ ก็คือ ใช้สำหรับเก็บข้อมูลในหน้าเว็บไซต์ต่างๆใช้ในการแสดงผลการค้นหา ตามความสอดคล้องของ Keyword ที่เราค้นหา ส่วนที่ 1 Google มีตัวโปรแกรมที่คอยทำหน้าที่เหมือนแมงมุม (Spider) ไต่เข้าไปตามเว็บต่างๆคอยเก็บเนื้อหา เพื่อแสดงเมื่อมีการค้นหาเกิดขึ้นส่วนที่ 2 Algorithm ที่ทำหน้าที่ในการจัดอันดับในหน้าแสดงผลการค้นหา เมื่อพิมพ์ Keyword ลงไป และมีเงื่อนไขในการจัดอันดับการค้นหา Google ที่ไม่เปิดเผยว่าใช้อะไรเป็นปัจจัย ในการจัดอันดับแต่ Google ได้จัดทำ “คู่มือเริ่มต้น SEO” ว่าเราควรจัดทำหน้าเว็บไซต์อย่างไรบ้าง เพื่อให้ง่ายสำหรับการเก็บข้อมูล และแสดงผลการค้นหาที่สอดคล้องกับ “Keyword” และในส่วนที่ 2 นี้มีความสำคัญอย่างมากในการจัดอันดับบน Google ซึ่ง Google ได้ออกแบบโปรแกรมการจัดอันดับเว็บไซต์ ที่ทำหน้าที่แตกต่างกัน […]
ปัจจุบันการโปรโมทเว็บไซต์ มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น ตัว Web master เองจะต้องตามให้ทันกระแสและการอัพเดทของ Search Engine อยู่เสมอๆ เพื่อให้เว็บไซต์ของเราอยู่ในการจัดอันดับที่ดีของ Search Engine ได้อย่างยาวนานมี Web master จำนวนมาก นิยมโปรโมทผ่านเว็บที่เป็น Social Bookmaring Online ซึ่งเว็บกลุ่มนี้จะช่วยเพิ่มค่าอันดับ (PageRank) และ เพิ่มจำนวนลิงค์เข้า (ฺฺBack Link) ให้กับเว็บของตัวเอง ฉะนั้นกระแสการโปรโมทผ่านเว็บที่เป็น Social Bookmaring Online จึงมาแรงอย่างมากในตอนนี้ ที่สำคัญบรรดา Search Engine ที่ดัง ๆ เช่น Google.com หรือ Yahoo.com ก็เห็นความสำคัญอย่างมากเช่นกันส่วนสำคัญที่เราต้องโปรโมทผ่านเว็บที่เป็น Social Bookmaring Online คือ ประเด็น DoFollow และ NoFollow ดังนั้น Web master อย่างเราๆ คงต้องอัพเดทข่าวสารใหม่ๆอยู่ตลอดเวลาDoFollow และ NoFollow […]
DE-INDEX คือ เมื่อ Search Engine ไม่แสดงหน้าเพจบางหน้าของเรา เช่น เว็บไซต์ของเรามีอยู่ 30 หน้า แล้ว อยู่ๆ ผลการค้นหา เหลือแค่ 5 หน้า หมายความว่าเราโดน DE-INDEX ไป 15 หน้า สามารถเช็คได้จากการพิมพ์ site:http://www.yousite.com ว่า site ของเรามี INDEX อยู่กี่หน้าแล้ว ถ้าหากลดลง โดยที่เราไม่ได้ลบออก ก็แสดงว่าเรา โดน DE-INDEX ไปแล้วอย่างแน่นอน สำหรับผู้ที่ใช้ google chrome สามารถโหลด ปลั๊กอิน อย่างตัว SeoQuake ได้ฟรี แล้ว Check ดูได้เลยว่า site ของเรามี INDEX ไปใน Search engine ชั้นนำ อย่าง Google , Yahoo , Bing ไปแล้วทั้งหมดกี่หน้าBAN และ DE-INDEX […]